adsense

บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ความลับของดวงแก้ว [2]

เรามาอ่านเรื่อง “ความลับของดวงแก้ว” ในหนังสือ “แก้วกายสิทธิ์” ของเว็บนวกาพรหมกันต่อ

ดวงแก้วกายสิทธิ์ - จักรพรรดิ  คู่บารมีหลวงปู่ทวด

มิใช่แต่เฉพาะที่วัดปากน้ำเท่านั้นที่พบแก้วกายสิทธิ์  แม้ในอดีตสมัยหลวงพ่อทวด  ซึ่งเป็นพระปฏิบัติสมัยอยุธยา ตามประวัติกล่าวว่า  ในสมัยที่หลวงพ่อทวดเกิดใหม่ๆ นั้นได้มีงูคาบดวงแก้วกายสิทธิ์มาให้ 

นับเป็นเรื่องแปลกหรืออาจกล่าวว่า  แก้วกายสิทธิ์เป็นของคู่บุญบารมีมาอุปการะ  ช่วยเหลือคุ้มครองแก่ผู้มีบุญบารมีทางธรรมปฏิบัติโดยเฉพาะก็คงกล่าวไม่ผิด 

เดิมมีลักษณะกลมแบบมะนาว  ต่อมาถูกคนบ้าลักขโมยไปและเอาหินทุบจนแหว่งไป   ลักษณะคล้ายไข่นกกระทา

เรื่องนี้เป็นไปได้ คือ มีคนบ้ามาลักเอาเรือนจักรพรรดิหรือดวงแก้วไป แล้วเอาไปทำให้เสียหาย เรื่องก็เป็นเพราะ มารมันต้องการทำลายเรือน

เรื่องที่เล่ามานี้ มารมันต้องเข้าไปบังคับใจของคนบ้าให้ทำอย่างนั้น

ดวงแก้วนี้ มีลักษณะเป็นหินแท้ธรรมชาติ คือ ในเนื้อแก้วจะมีลายหิน, รอยหิน  มีคราบสีเหลืองแก่ปะปนอยู่ในหินแก้วบ่งบอกอายุความเก่าแก่ของหิน

นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานยืนยันจากประวัติพระธุดงค์ที่ท่านจาริกไปในป่าเขาปฏิบัติธรรม  มีบางท่านปักกลดในป่าบริเวณตีนเขา  พอตกดึกก็แลเห็นมีแสงสว่างพุ่งขึ้นบนยอดเขา  พอรุ่งเช้าจึงขึ้นไปดูพบมีหินแก้วกายสิทธิ์สีต่างๆ

ต่อมาท่านก็ใช้ลูกศิษย์ไปนำแก้วกายสิทธิ์เหล่านั้นมาบรรจุไว้ที่ถ้ำกระบอก  สระบุรี  ทีมีชื่อเสียงในการรักษาผู้ติดยาเสพติดจนได้รางวัลแมกไซไซ

มีสามเณรองค์หนึ่งปฏิบัติกรรมฐานจาริกธุดงค์ปักกลดที่ป่าเขาในจังหวัดแพร่  มีคืนหนึ่งขณะเข้าที่เจริญภาวนาเสร็จแล้ว ท่านลืมตาออกจากสมาธิ  ท่านได้เห็นมีแสงนวลสว่างออกมาจากพื้นดินเขานั้น

ท่านจึงเข้าไปดู  พบว่ามีดวงแก้วกายสิทธิ์ขาวใสภายในมีสีเขียวคล้ายตะไคร่น้ำอยู่ในนั้นด้วย 

และมีพระนักปฏิบัติธรรมสายอีสาน  ชื่อพระอาจารย์พุฒ  รตนญาโน  แห่งวัดป่าเขาสวนกวาง  จังหวัดขอนแก่น 

ท่านได้ตอบสัมภาษณ์แก่นักข่าว วารสารฉบับหนึ่งที่มาถามท่านขณะท่านมา ณ วัดบวรนิเวศน์วิหาร  กรุงเทพฯ ถึงเรื่องแก้วกายสิทธิ์ที่พระอาจารย์พุฒ  เดินธุดงค์กรรมฐานไปที่ภูเขาลูกหนึ่ง

คืนหนึ่งขณะที่ท่านกำลังทำความเพียรเดินจงกรมไปมาตรงบริเวณที่พัก ท่านสังเกตเห็นแสงสว่างเรืองสุกใส  ลอยวนไปวนมาเหนือศีรษะ 

ท่านเลยเงยหน้าขึ้นไปมอง  ลูกแก้วนี้ลอยวนไปวนมาเหมือนมีชีวิต  ครั้งแรกที่ท่านเห็นก็อดคิดไปต่าง ๆ นานาไม่ได้  เพราะคิดว่าสิ่งนั้นคือของวิเศษชนิดหนึ่ง

แต่ในที่สุดท่านก็สำรวมใจ  ไม่สนใจภายนอกมุ่งเดินจงกลมปฏิบัติความเพียรต่อ  จนได้เวลาก็เข้าในกลดนั่งสมาธิภาวนาจนรุ่งเช้า  และท่านยังคงปักกลดที่นั่นเพราะสงบดีเหมาะแก่การภาวนามาก

วันที่สองตอนกลางคืน  ท่านก็ปฏิบัติสวดมนต์  แล้วมานั่งสมาธิภาวนา  พอตกดึกท่านก็เดินจงกรม  ประมาณ 3 ทุ่มเศษๆ ลูกแก้วก็ลอยปรากฏให้เห็นอีก  คราวนี้ลอยต่ำกว่าทุกคราว คือเรี่ย ๆ ศีรษะพอดี 

ท่านพระอาจารย์พุฒก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก  จะลอยวนเวียนอย่างไรก็ช่าง  ท่านเดินจงกลมรักษาสติอย่างเดียว  คืนต่อ ๆ มาก็ปรากฏเช่นนี้ทุกคืน

และจนคืนหนึ่งดวงแก้วลอยต่ำลงมากแล้วยังวนเวียนช้าๆ รอบๆ ตัวท่านอีกด้วย  แสงสีเรืองๆ นั้นทำให้ท่านหยุดพิจารณาแล้วยื่นมือไปหยิบดวงแก้ววิเศษนั้น 

ท่านบอกว่ามันง่ายดายมาก  พอท่านจับดวงแก้วไว้แสงเรืองๆ สว่างๆ นั้นก็ค่อยๆ มืดดับไปจนหมด  เหลือแต่สภาพเป็นดวงแก้ว (สีขุ่นขาวนวลไม่ถึงกับใสแจ๋วนัก)

ท่านจึงพิจารณาทราบว่า เจ้าของหมายถึง  ผู้รักษาแก้วนั้นหรือแก้วกายสิทธิ์นั้นคงจะให้ท่าน  ท่านจึงเก็บไว้  ต่อมาท่านได้ถวายพระอาจารย์แนนซึ่งเป็นพระธุดงค์อีกองค์หนึ่งไป 

(นี่เป็นเรื่องจริงทุกประการ  ท่านสามารถเรียนถามได้จาก พระอาจารย์พุฒ วัดเขาสวนกวางได้ทุกเวลา)

เรื่องนี้ก็เป็นไปได้ กล่าวคือ จักรพรรดิทั้งหลายทั้งปวงนั้น ท่านไม่มีกายเนื้อ การที่ไม่มีกายเนื้อนั้น ทำให้ไม่สามารถสร้างบารมีได้ด้วยตัวของท่านเอง

ถ้าถามว่า ทำไมจักรพรรดิต้องสร้างบารมี 

คำตอบก็เป็นอย่างนี้ จักรพรรดิต้องสร้างบารมีตลอดไม่ว่าจะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วหรือไม่

เรื่องนี้เมื่อเปรียบเทียบกับพระพุทธเจ้าแล้ว  พระพุทธเจ้าเมื่อบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็หมดหน้าที่ในโลกมนุษย์  คือ ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกับโลกมนุษย์อีกต่อไป

หน้าที่ของพระพุทธองค์มีอย่างเดียวคือ คำนวณบารมีให้กับมนุษย์ที่เป็นพุทธศาสนิกชน อย่างอื่นไม่ต้องทำอะไร

แต่จักรพรรดิไม่ใช่อย่างนั้น

จักรพรรดิที่ยังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณก็ต้องสร้างบารมีอยู่แล้ว เพื่อให้ไปถึงจุดหมายปลายทาง 

ส่วนจักรพรรดิที่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วก็ยังต้องมาสร้างบารมีเพิ่มเติมอีก เพราะ ท่านมีหน้าที่ดูแลศาสนา

แต่ในเมื่อท่านไม่มีกายเนื้อ ท่านก็ต้องหา “มนุษย์” ที่ท่านจะร่วมสร้างบารมีด้วย  ท่านจึงมาแสดงฤทธิ์ ฯลฯ เพื่อให้มนุษย์เอาเรือนของท่านไป ท่านก็จะสามารถไปสร้างบารมีร่วมกันมนุษย์ได้

แล้วจักรพรรดินั้น มีมากมายมหาศาล แบบไม่ต้องไปอิจฉาว่า คนโน้นมีมากอะไรทำนองนั้น  ถ้าท่านเป็นคนปฏิบัติธรรม ต้องการเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ไม่ต้องกลัวเลย จักรพรรดิจะไปอยู่กับท่านอย่างแน่นอน

และจักรพรรดินั้น มีกฎกติกามารยาทค่อนข้างแน่นอน คือ ไปอยู่กับใครแล้ว มักจะอยู่กับคนนั้นตลอดไป ยกเว้นว่า คนๆ นั้น ถอดใจเลิกการสร้างบารมี ท่านก็ต้องไปหาผู้ร่วมสร้างบารมีใหม่

แต่ในกรณีที่เป็นจักรพรรดิคู่บารมี คือ รัตนะ 7 คู่บารมี [ช้างแก้ว ม้าแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว นางแก้ว มณีแก้ว และจักรแก้ว]  ท่านจะอยู่กับเราตลอด

เมื่อไหร่ที่เราหยุดสร้างบารมี ไปทำความเลวบ้าง เรื่องเลวไหลไร้สาระบ้าง ท่านจะถอนถอยกลับไปอยู่ ณ ที่ของท่านก่อน เมื่อไหร่เรากลับมาสร้างบารมี ท่านก็จะกลับมาช่วยอีก



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น